iPhone XR ราคาถูกลง แต่โดนตัดคุณสมบัติอะไรไปบ้าง
หลังจากเปิดตัว iPhone XR สร้างความสนใจไปมากมาย ไม่น้อยไปกว่า iPhone Xs ซึ่งเป็นรุ่นที่แพงกว่า โดยปัจจัยหลักคงหนีไม่พ้นเรื่องราคาที่ถูกลง บวกกับสเปคที่ไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย แถมยังได้หน้าจอใหญ่สะใจกว่า iPhone X เดิมอีกด้วย แต่ทุกอย่างย่อมมีข้อเสีย ราคาถูกลง แต่โดนตัดคุณสมบัติอะไรไปบ้าง ?
iPhone XR ราคาถูกลง แต่โดนตัดคุณสมบัติอะไรไปบ้าง
เปิดตัวกันไปแล้วสำหรับราคาเริ่มต้น $749 ที่ถูกกว่า iPhone X ปีที่แล้ว ส่วนราคาไทยยังไม่มีอย่างเป็นทางการ โดยทีมงาน iMod คาดการณ์ว่า iPhone XR ราคาจะอยู่ประมาณ 29,500 บาท ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่ “ถูก” เพราะเมื่อเทียบกับ iPhone Xs ประสิทธิภาพความเร็วนั้นเท่ากันเลย เนื่องจากเป็นชิป A12 Bionic รุ่นใหม่ล่าสุด
1. เป็นเพียงหน้าจอ LCD (ที่ดีที่สุด)
จริงอยู่ที่ว่า iPhone XR มาพร้อมกับหน้าจอใหม่ Liquid Retina HD แต่ก็ยังมีประสิทธิภาพด้อยกว่า Super Retina HD ที่ถูกใช้ใน iPhone X, Xs, Xs Max โดยหลัก ๆ เลยก็คือ ไม่รองรับ HDR มีความละเอียดหน้าจอต่อพื้นที่เพียงแค่ 326 ppi (แบบเดียวกับ iPhone 8) ซึ่งเป็นเพียงหน้าจอ LCD IPS ธรรมดาไม่ใช่ OLED รวมถึงมีคอนทราสต์อยู่ที่ 1400:1 ถ้าจะเอาเรื่องความสวยงาม ไม่มีทางเทียบติดกับรุ่นพี่อยู่แล้ว ไม่เหมาะกับคนที่เอาไปเพื่อดูภาพยนตร์
2. ไม่มี 3D Touch
หนึ่งในลูกเล่นที่อำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้ ซึ่งมีตั้งแต่ iPhone 6S, 7, 8, X, และยังรวมถึง Xs แต่ไม่ใช่สำหรับ XR เพราะคุณสมบัตินี้ถูกตัดไปตั้งแต่ Hardware (งงสิ … งง) กลายเป็นว่าตอนนี้เป็นไอโฟนเครื่องเดียวที่ขายอยู่ และไม่เก่าจนเกินไปแต่ดันไม่มีคุณสมบัติพื้นฐานอย่าง 3D Touch ไม่เหมาะกับคนที่ติดคุณสมบัตินี้
3. กล้องเดี่ยวไม่ใช่กล้องคู่
กล้องหลังความละเอียด 12MP พร้อมกันสั่น OIS กับเลนส์ 6 ชิ้น f/1.8 พร้อมกล้องหน้าเป็น TrueDepth แบบเดียวกับ Xs เพียงแต่กล้องหลังตัดระยะเทเลโฟโต้ออกไป ส่งผลให้ไม่สามารถซูมออปติคอล แต่ถึงอย่างไรก็ยังมีโหมดภาพถ่ายบุคคลพร้อมโบเก้ที่สมจริง และการควบคุมระยะชัดลึก (โดยใช้ Software เข้าช่วย) ส่วนจะสมจริงมากแค่ไหนกล้องคู่ยังจำเป็นหรือไม่ คงต้องรอดูรีวิวกันอีกที ไม่เหมาะกับคนที่ชอบถ่ายภาพบุคคลหรือต้องการซูมภาพระยะไกล
4. กันน้ำได้น้อยกว่ารุ่นพี่
ไอโฟนทั้งสองรุ่นพี่ สามารถกันน้ำได้ถึงมาตรฐาน IP68 ตามมาตรฐาน IEC 60529 (ความลึกไม่เกิน 2 เมตร ภายในระยะเวลาสูงสุด 30 นาที) แต่สำหรับ iPhone XR มีการป้องกันอยู่ที่ระดับ IP67 ตามมาตรฐาน IEC 60529 (ความลึกไม่เกิน 1 เมตร ภายในระยะเวลาสูงสุด 30 นาที) หรือก็คือเท่ากับไอโฟนรุ่นก่อน ๆ นั่นเอง ไม่เหมาะกับคนเน้นความทนทาน
5. ไม่รองรับ LTE ระดับ Gigabit
ไอโฟนทั้งสองรุ่นใหม่รองรับ LTE ระดับ Gigabit แต่สำหรับรุ่นถูกกว่าก็ต้องมีข้อเสียเล็กน้อย เพราะจะรองรองเพียงแค่ 4G LTE Advanced แบบเดียวกับมาตรฐานเดิมที่ใช้มาตั้งแต่รุ่น 6s ซึ่งสำหรับ Gigabit LTE เป็นก้าวสำคัญในการก้าวสู่ 5G (แต่ก็ยังไม่ใช่ 5G และในตอนนี้ยังไม่มี) แต่ถึงจะเร็วอย่างไรก็เถอะเครือข่ายคือหัวใจหลัก เพราะถ้าเครือข่ายยังไม่รองรับก็ยังคงใช้งานไม่ได้อยู่ดี
สำหรับเรื่องเครือข่าย Apple จะเป็นรองและช้าที่สุดเสมอมา เนื่องจากเน้นประสบการณ์ผู้ใช้เป็นสำคัญ (และไม่อนุญาตให้ App ไหนมายุ่งกับ Network ผู้ใช้งานเลย) การที่มีความขยับเรื่อง Gigabit LTE และ LAA เท่ากับว่ามีความร่วมมือกับเครือข่ายมาพักใหญ่แล้ว และบริการดังกล่าวจะเป็นรูปธรรมในอนาคต ไม่เหมาะกับคนที่ต้องการความเร็วสูงสุด (ในวันที่เครือข่ายรองรับ)
(แถม) นี่คือไอโฟนที่หนาที่สุด
เมื่อเทียบกับไอโฟนทุกรุ่นที่ได้ไปอัปเดต iOS 12 ในปัจจุบน iPhone XR ถือว่าเป็นไอโฟนรุ่นที่หนาที่สุดโดยมีความหนาถึง 8.3 มม. แต่ถึงอย่างไรก็ตามมันก็ไม่ใช่รุ่นที่หนักที่สุดเหมือนตระกูล Plus และเมื่อเทียบกับมาตรฐานของ X, Xs, Xs Max ที่มีความหนาเท่ากันคือ 7.7 มม. ดังนั้นรุ่นนี้จะหนากว่าเล็กน้อยครับ
ท้ายสุด
เราคงต้องรอชมวันที่ iPhone XR จะเปิดขายซึ่งกว่าจะได้ใช้งานกันในกลุ่มประเทศแรก นั้นก็ปาไปปลายเดือนตุลาคม 2018 เลย ถ้าเข้าไทยก็คงราว ๆ พฤศจิกายนปีเดียวกัน ถึงวันนั้นเราจะได้เห็นรีวิวต่าง ๆ จากผู้ใช้งานจริงและข้อมูลเหล่านั้นแหละจะช่วยให้เราตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
ไม่แน่ว่า iPhone XR ที่ถูกภายนอกเหมือนจะแสนธรรมดา แต่หากได้สัมผัสตัวจริงแล้วอาจจะมอบประสบการณ์ที่ดีกว่าที่คาดเอาไว้ก็เป็นได้ ทั้งนี้ต้องรอติดตามชมกันครับ