news

 

ผ่านพ้นไปแล้วสำหรับรอบ 16 ทีมสุดท้ายของยูโร 2016 และวันพรุ่งนี้ (30 ก.ค.) ก็จะเริ่มดวลกันในรอบ 8 ทีมสุดท้าย นั่นหมายความว่าเหลืออีกเพียงแค่ 7 นัดเท่านั้น เราก็จะได้ “แชมป์ยุโรป” ประจำปีนี้แล้ว

ลองมาดูว่า ตั้งแต่รอบแรกจนถึงรอบ 16 ทีมที่จบไป มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง

– มีการแข่งขันเกิดขึ้นทั้งหมด 44 นัด ยิงกันไป 88 ประตู เฉลี่ยแค่นัดละ 2 ลูก
– ช่วงเวลาที่ยิงกันมาที่สุดมี 3 ช่วงเวลา คือนาทีที่ 31-45, 46-60 และ 76-90 ที่ 16 ประตูเท่ากัน
– แต่ที่น่าสนใจคือ ช่วงทดเวลาบาดเจ็บครึ่งหลัง หรือ นาที 90+ มีการยิงประตูกันมากถึง 9 ลูก แตกต่างจากช่วงทดเวลาบาดเจ็บครึ่งแรกซึ่งไม่มีการทำประตูกันได้เลย

– เยอรมัน, สเปน และ สวิตเซอร์แลนด์ คือ 3 ทีมที่มี % ผ่านบอลสำเร็จมากที่สุด เท่ากันที่ 91% รองลงมาเป็น อังกฤษ 88% และ ฝรั่งเศส 87%
– เยอรมัน ยังเป็นทีมที่มีค่าเฉลี่ยครองบอลมากที่สุดที่ 64% สเปน ตามมาเป็นอันดับสองที่ 61% อังกฤษ รั้งที่สาม 59%

– เบลเยียม เป็นทีมที่สร้างโอกาสทำประตูได้มากที่สุด 4 นัดที่ผ่านมามีมากถึง 84 ครั้ง ไม่ตรงกรอบ 31 ครั้ง ตรงกรอบ 31 ครั้ง ถูกบล็อก 22 ครั้ง อันดับ 2-5 เป็น อังกฤษ, เยอรมัน, โปรตุเกส และ ฝรั่งเศส ตามลำดับ
– เบลเยียม, ฝรั่งเศส, เยอรมัน, ฮังการี และ ไอซ์แลนด์ คือ 5 ทีมที่มีค่าเฉลี่ยยิงประตูต่อนัดดีที่สุด คือนัดละ 2 ประตู

– ดาวซัลโวของทัวร์นาเม้นต์ตอนนี้มีร่วมกัน 3 คนคือ แกเร็ธ เบล ของเวลส์, อองตวน กรีซมันน์ ของฝรั่งเศส และ อัลบาโร่ โมราต้า ของสเปน แต่รายหลังคงหมดโอกาสเพิ่มสกอร์แล้ว เนื่องจากแชมป์เก่าพ่ายอิตาลีตกรอบเรียบร้อย
– เอเด็น อาซาร์ จอมทัพเบลเยียม รั้งอันดับหนึ่งของผู้จ่ายบอลให้เพื่อนทำประตูมากที่สุด ที่ 3 ประตู

– แข้งฝีเท้าจัดที่สุดของทัวร์นาเม้นต์นี้ยังเป็น คิงส์เลย์ โกม็อง ปีกดาวรุ่งของฝรั่งเศส ที่ 33 กม./ชม.
– นายทวารที่เซฟมากที่สุดคือ ฮันเนส ฮัลล์ดอร์สสัน ของไอซ์แลนด์ 4 นัดที่ผ่านมาป้องกันไม่ให้ทีมเสียประตูมากถึง 23 ครั้ง อันดับสองตามมาด้วย ไมเคิ่ล แม็คโกเวิร์น ของไอร์แลนด์เหนือ และ กาบอร์ คิราลี่ ของฮังการี ที่ 17 ครั้งเท่ากัน แต่ทีมชาติของทั้งคู่ก็ตกรอบไปเรียบร้อยแล้ว