หนุ่มใหญ่สุดงง ใบภาษีเรียกเก็บเป็นเงินเกือบ 500 ล้านบาท เพราะไปมีชื่อเป็นถึงผู้บริหาร ทั้งๆ ที่สภาพความเป็นอยู่แทบจะไม่ไหว เคยแจ้งหน่วยงานที่รับผิดชอบช่วยตรวจสอบ แต่ไม่มีใครยื่นมือช่วย ยืนยันถ้าผิดจริง ก็ยินดีติดคุก

เมื่อวานนี้ (13 ม.ค.) ผู้สื่อข่าวได้รับเรื่องร้องเรียนจาก นายไพบูลย์ อายุ 43 ปี ชาวบ้านใน ต.บ้านหอย อ.ประจันตคาม จ.ปราจีนบุรี ว่าตนเองได้รับหนังสือจากสรรพากร พื้นที่ปราจีนบุรี เตือนให้นำเงินภาษีอากรไปชำระ โดยถูกเรียกเก็บภาษีมาจำนวน 3 ครั้ง ครั้งแรก 29 ล้านบาท ครั้งที่สองจำนวนกว่า 335 ล้านบาท และครั้งล่าสุด 483 ล้านบาท หนำซ้ำยังถูกสรรพากรดำเนินคดีอาญา จึงได้ร้องเรียนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยตรวจสอบข้อเท็จจริง

ผู้สื่อข่าวเวิร์คพอยท์ประจำจังหวัดปราจีนบุรี ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบที่บ้านหลังดังกล่าว ลักษณะเป็นบ้านคอนกรีตชั้นเดียว ที่ยังสร้างไม่เสร็จ ผนังเป็นอิฐบล็อก เนื้อที่ประมาณ 2 งานเศษ ส่วนด้านข้างมีเพิงหมาแหงน จำนวน 2 เพิง ใช้ไม้ยูคาลิปตัสเป็นเสา ล้อมด้วยผ้าพลาสติก เป็นบ้านเอื้ออาทรที่ทาง อบต.สร้างให้สำหรับผู้ยากไร้ โดยมีนายไพบูลย์ พร้อมภรรยา บุตร แม่ และหลานๆ อาศัยอยู่รวมกัน 5 คน จากการตรวจสอบสภาพพบว่า มีฐานะยากจน ประกอบอาชีพรับจ้างก่อสร้างทั่วไป

นายไพบูลย์ได้นำหลักฐานที่ทางสรรพากร จ.ปราจีนบุรี เรียกเก็บภาษี อาทิเช่น หนังสือที่ กค 0723.0835/651 ลงวันที่ 25 มกราคม 2561 เรื่อง เตือนให้นำเงินภาษีอากรค้างไปชำระ เรียน กรรมการผู้จัดการบริษัทแห่งหนึ่งใน จ. ปราจีนบุรี โดยแจ้งให้กรรมการผู้จัดการค้างค่าภาษีอากร ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2553 เดือนพฤศจิกายน 2557 มกราคม 2559 พฤษภาคม 2559 และธันวาคม 2559 รวมเป็นเงิน 335,711,549.45 บาท (ยังไม่รวมเงินเพิ่มตามกฎหมาย)

news

ต่อมา ยังได้มีหนังสือเตือนให้นำเงินภาษีอากรค้างชำระจากสรรพากรพื้นที่ปราจีนบุรี ลงวันที่ 9 ตุลาคม 2561 โดยแจ้งว่า ด้วยปรากฏว่า ท่านค้างภาษีอากร ตามหนังสือแจ้งการประเมิน พงด.73 ลงวันที่ 24 สิงหาคม 2553 และลงวันที่ 25 กรกฎาคม 2561 รวมทั้งสิ้น 8 แบบแจ้งการประเมิน เป็นเงิน จำนวน 483,447,152.00 บาท

นอกจากนั้นตนเองยังถูกหมายเรียกผู้ต้องหา ครั้งที่ 1 ออกโดย สภ.ประจันตคาม ลงวันที่ 1 ตุลาคม 2561 ทำให้ตนพร้อมภรรยา และบุตร วิตกกังวล เนื่องจากตนพร้อมครอบครัวมีอาชีพรับจ้าง ไม่เคยเป็นกรรมการผู้จัดการแต่อย่างใด

สาเหตุที่ถูกเรียกเก็บภาษีและถูกหมายเรียกคดีอาญา เชื่อว่า น่าจะมีผู้เอาหลักฐานของตนไปใช้ประโยชน์ โดยที่ตนไม่ทราบเรื่องมาก่อน จึงร้องขอความเป็นธรรมกับทางสื่อมวลชน ให้ช่วยในเรื่องนี้ด้วย เพราะที่ผ่านมาได้เคยไปแจ้งความร้องทุกข์กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่ไม่ได้รับความร่วมมือ

นายไพบูลย์กล่าวว่า ได้เคยไปแจ้งความที่ สภ.เมืองปราจีนบุรี ก็ถูกดำเนินคดี ฝากขังและส่งฟ้องศาล ถูกปรับเงินฐานจงใจเพิกเฉยที่ไม่ไปรับทราบข้อหา 2,500 บาท

“ผมไม่รู้ ไม่เคยมีบริษัท แต่ถูกเรียกเก็บภาษี ซึ่งผมไม่ได้กระทำ ถ้าผมทำ ผมจะไม่เสียใจ แต่นี่ผมไม่รู้เรื่องอะไรเลย ความเป็นอยู่ทุกวันนี้ก็ลำบากอยู่แล้ว หาเช้ากินค่ำ เลี้ยงดูครอบครัว ภาษีไม่ใช่น้อย จาก 29 ล้าน เป็น 335 เป็น 483 ล้าน ศักยภาพอย่างผมไม่มีปัญญาแน่ ที่ว่าเปิดบริษัทแล้วหาเงินได้ขนาดนั้น ชีวิตคงสุขสบายกว่านี้”

ทางด้าน พ.ต.ท.อาทิตย์ ศรีปราชญ์ ร้อยเวรสอบสวน สภ.ประจันตคาม ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า หลังจากได้รับการแจ้งความจากเจ้าหน้าที่สรรพากรพื้นที่ปราจีนบุรีแล้ว ได้ออกหมายเรียก นายไพบูลย์ ศรีทอง มาทำการสอบสวน เจ้าตัวให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา โดยพนักงานสอบสวนได้ตั้งข้อกล่าวหา 2 ข้อ ไม่ยื่นแสดงภาษี และหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร และจะสรุปสำนวนส่งฟ้องต่อไป