new

หลังตกเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักถึงกรณีที่ “Club Friday” ในตอนที่ 4 ซึ่งเป็นเรื่องราวของแม่กับลูกที่ต้องมาใช้สามีที่เป็นผู้ชายคนเดียวกัน หลังมีการตั้งข้อสงสัยว่าเรื่องราวดังกล่าวซึ่งมาจากหญิงสาวที่ระบุว่าชื่อ “แอร์” นั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่ นอกจากนี้ก็มีการไปขุดคุ้ยแฟนเพจที่ระบุว่าเป็นของหญิงคนดังกล่าวที่ “club my love airr” ก่อนที่จะมีสมาชิกคนหนึ่งออกมาร้องเรียนว่าเพจดังกล่าวเป็นของตนเองแต่ถูกนำไปแอบอ้าง

ล่าสุดบอสใหญ่เอ-ไทม์ “ฉอด-สายทิพย์ มนตรีกุล ณ อยุธยา” ได้ออกมาชี้แจงถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ฟังแบบละเอียดว่า

“อย่างที่ทราบคลับฟรายเดย์เป็นรายการที่เปิดโอกาสให้คนฟังโทรเข้ามาเพื่อเล่าเรื่องในประเด็นหัวข้อที่เราตั้งใจในแต่ละวันศุกร์ ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาในเรื่องความรักความสัมพันธ์แล้วเราก็ได้นำเรื่องราวเหล่านั้นมาตอบในรายการโดยมีพี่ฉอด พี่อ้อยเป็นพิธีกร อาจจะมีคนฟังของเราที่แสดงความคิดเห็นต่างๆนานาเข้ามา เพราะฉะนั้นในช่วงเวลาที่ผ่านมา เราทำคลับฟรายเดย์มา 9 ปี ก็มีเรื่องราวมากมายในแต่ละวันศุกร์หลังจากที่เราตั้งประเด็นออกไป คนที่ส่งเรื่องเข้ามาในรายการแต่ละศุกร์มีเรื่องเยอะมากซึ่งเราเปิดโอกาสรับเรื่องในทุกด้าน แล้วเราจะมีทีมงานที่จะไปคุยเพื่อที่จะเช็กความแน่ใจว่าคนที่โทรมามีเรื่องราวอย่างไรและมีประเด็นน่าสนใจอย่างไร วัตถุประสงค์สำคัญที่สุดของคลับฟรายเดย์ที่เราได้ทำรายการนี้ขึ้นมา เรามีความตั้งใจที่จะให้เรื่องราวที่ส่งเข้านั้นเป็นเคสเรียนรู้ ว่าถ้ามันเกิดเรื่องราวแบบนี้ พี่ฉอดกับพี่อ้อยจะตอบว่าอย่างไร คนที่โทรศัพท์เข้ามาคุยกับรายการจริงๆมีจำนวนไม่เยอะนะคะ แต่ละศุกร์มีไม่ถึง 10 สาย แต่คนที่ดูและฟังอยู่มีจำนวนมากมาย ที่เราคำนึงถึงว่าเขาสามารถนำเรื่องราวเหล่านี้ไปใช้ให้เป็นประโยชน์กับชีวิตจริงขงเขาได้อย่างไร ตอนนี้มีหลายคนพยายามตั้งประเด็นว่าจริงหรือไม่จริง หลอกลวงอะไรต่างๆนานาก็ตาม พี่อยากจะบอกว่ากระบวนการการโทรศัพท์เข้ามาไม่ใช่แค่โทรเข้ามาแล้วได้ออกอากาศเลย เราก็มีกระบวนการกลั่นกรองจำนวนหนึ่ง แต่ไม่ได้หมายความว่าเรื่องราวทั้งหมดที่เข้ามามันจะต้องถูกตรวจสอบว่าเป็นความจริง 100 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากว่าเราไม่ได้บอกว่ามันต้องเป็นความจริง 100 เปอร์เซ็นต์ แต่เราสนใจว่ามันเป็นประเด็นที่เป็นประโยชน์กับคนฟัง คนดูของเราหรือเปล่า นั่นคือประเด็นสำคัญที่สุด อย่างไรก็ตามแต่คนที่ทำงานมาตลอดตรงนี้ เอาเข้าจริงๆแล้วเราพอจะฟังรู้ค่ะ หลังจากที่คุยเช็กอะไรต่างๆนานาไปแล้วว่าเรื่องนั้นจริงหรือแค่แต่งมาเพื่อสนุก ทีมงานทุกคนมีประเด็นเหล่านี้อยู่ในใจกันทั้งนั้นว่าจริงหรือไม่จริง เราคิดอย่างนี้ก่อนที่เรื่องนี้จะถูกออกอากาศซะอีก เวลาที่เรามาเล่าเรื่องแบบนี้กันเรายังไม่สามารถบอกได้ว่าจริงหรือไม่จริง 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นมันอาจจะเป็นมุมมองของคนที่เล่า เวลาเรื่องที่เกิดขึ้นอาจจะมีตัวละครหลายตัวก็จริง แต่คนที่โทรเข้ามาเขาเล่าในมุมมองของเขา ฉะนั้นมันอาจจะมีความคลาดเคลื่อนเกิดขึ้นได้ว่ามองมุมไหนมันก็จะเป็นของคนที่มองในมุมของตัวเอง พอเรามาจับประเด็นว่าจริงหรือไม่จริง ถูกหรือไม่ถูก พี่เลยรู้สึกนิดนึงว่าอย่าลืมวัตถุประสงค์หลักของรายการก่อน ถามว่ารายการจำเป็นต้องเมคไหม บอกได้เลยว่าไม่จำเป็นเพราะในแต่ละวันศุกร์มีเรื่องส่งเข้ามาเยอะมากนะคะ มันได้ออกอากาศจริงๆไม่ถึง 10 เลย หลังจากที่ออกอากาศไปมีกระแสถึงความรุนแรงในเรื่องนี้ว่ามันเป็นเรื่องรุนแรงเหลือเกิน จนถึงวันนี้ก็ยังมีคนบอกว่าเป็นไปไม่ได้หรอก ไม่เป็นจริงหรอก ประเด็นนี้พี่จะงงนิดนึง ถามว่าเรื่องนี้แรงไหม แรงค่ะ แต่มีเรื่องแรงกว่านี้เกิดขึ้นในสังคมเราเยอะมากนะคะ เช้าเราเปิดทีวีดูข่าวก็จะเจอเหตุการณ์แบบนี้เยอะมาก ถามว่าเรื่องราวของคุณแอร์มันประหลาดมหัศจรรย์จนกระทั่งมันเป็นไปไม่ได้จริงในสังคมนี้เหรอ พี่ว่ามันไม่ใช่ มันเป็นเพียงเคสที่รุนแรงเคสนึงเท่านั้นเองนะคะ”

เรื่องคุณแอร์ใช่เรื่องจริงหรือไม่
“อย่างที่บอกค่ะ คุณแอร์ไม่ได้โทรศัพท์เข้ามาด้วยวัตถุประสงค์ว่าอยากดังหรืออยากออกอากาศ จริงๆเขาไม่ได้พูดถึงการออกอากาศใดๆเลย เขาส่งเรื่องของเขามาทางเฟซบุ๊กของพี่อ้อยเพื่อปรึกษา ซึ่งนี่เป็นงานปกติที่พี่ฉอดกับพี่อ้อยทำอยู่ ทุกวันนี้มีน้องจำนวนเยอะมากที่ส่งเรื่องเข้ามาเพื่อไม่ได้หวังออกอากาศ แค่อยากให้เราเป็นที่พึ่ง อยากพูดคุยกับเรา อยากให้เราแสดงความคิดเห็น เสนอแนะกับชีวิตเขา ฉะนั้นคุณแอร์เข้ามาด้วยวัตถุประสงค์นี้เท่านั้น ซึ่งเราคุยกันมาตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม แล้วก็จะมีการสนทนาโต้ตอบระหว่างคุณแอร์กับพี่อ้อย น้องก็เล่าว่าเรื่องราวเป็นยังไง แล้วพี่อ้อยก็ให้คำแนะนำต่างๆอยู่ระยะเวลานึง จนวันนึงพี่อ้อยเห็นว่าเรื่องนี้น่าสนใจ พี่อ้อยก็เลยมาคุยกับพี่ฉอดและทีมงานว่าเคสนี้น่าสนใจนะ เพราะเราติดใจในประเด็นที่คุณแอร์เจอเหตุการณ์ขนาดนี้แล้ว แต่เขาก็ยังไม่ไปทำแท้ง ไม่ฆ่าตัวตาย เขาก้าวข้ามผ่านสิ่งเหล่านั้นมาได้ และวันนี้เขาก็สามารถยังยืนอยู่ได้ เราติดใจในประเด็นนี้ว่ามันน่าจะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่เจออะไรหนักหนาอยู่ตอนนี้ คนๆนี้เจอขนาดนี้แล้วยังรอด ทำไมพวกเราจะไม่รอด พี่อ้อยเลยเอาเรื่องนี้มานำเสนอ ก็มีการโทรไปคุยกับน้องเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติมต่างๆ วันนึงก็เลยได้เอาสายของน้องออกในรายการ อันนั้นคือขั้นตอนแรกที่เรื่องนี้ได้มีการออกอากาศในรายการคลับฟรายเดย์ไป หลังจากนั้นก็มีกระแสต่างๆนานาเยอะแยะ จนกระทั่งวันที่เราจะทำเดอะ ซีรีส์ เราก็ยังคิดถึงประเด็นเดิมอยู่ว่า เรื่องนี้มันแรงแต่เป็นประโยชน์ ก็เลยตัดสินใจเลือกเรื่องนี้มา ในนี้จะมีการขออนุญาตที่พี่อ้อยส่งไปขออนุญาตน้องว่าเราขอเราเรื่องของน้องมาทำเป็นซีรีส์นะ น้องยังส่งกลับมาว่า น้องขอถามพี่อ้อยจริงๆตรงๆว่าจะดีไหมที่เอาเรื่องของน้องไปทำ เพราะน้องเองก็กังวลอยู่ว่ามันมีฟีดแบ็กเข้ามาทั้งบวกและลบ น้องยังกังวลอยู่ว่าเรื่องของแม่มาพูดแบบนี้ รู้สึกว่าเอาเรื่องแม่มาประจาน ที่ถามพี่ว่าเชื่อไหมว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ถ้าพี่เชื่อว่าเป็นเรื่องนี้ก็เพราะว่ามันมีหลายสิ่งหลายอย่างมาก ทุกวันนี้มันพูดเสมือนหนึ่งว่าอยู่ดีๆพี่อ้อย พี่ฉอดก็เหยิบเรื่องนี้มาออกอากาศเลย อยากดังหรือเมคขึ้นมา แต่ทุกอย่างมันมีขั้นตอนหมด พี่ก็เลยบอกว่าคุณแอร์มีตัวตนจริงๆเพราะเราคุยกันเขาอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งถึงเรื่องที่เป็นประเด็นการเปิดเฟซบุ๊ก มีรูปของคุณแอร์อีกคนนึงหรือการโอนเงินก็ตาม ซึ่งเหล่านี้มันตอบได้หมด คนที่เป็นเจ้าของเรื่องไม่ใช่เฉพาะคุณแอร์นะคะ ได้คุยออกรายการแล้วหรือนำเรื่องของเขามาทำเป็นซีรีส์แล้ว เรายังมีโอกาสได้ติดต่อกับเจ้าตัวเขาอยู่ ไม่ว่าเขาจะมีอะไรเขาก็ยังโทรมาหาพี่ฉอด พี่อ้อนหรือทีมงานอยู่ มาอัพเดทชีวิตว่าเป็นยังไงบ้าง มาขอปรึกษาพี่อ้อยบ้าง มันเป็นเรื่องปกติที่เรายังคุยกันอยู่ วันนึงน้องแอร์ก็มาปรึกษาพี่อ้อยว่าหนูอยากเปิดหน้าเพจของตัวเอง ซึ่งพี่อ้อยยังบอกน้องว่าจะดีเหรอ เพราะน้องบอกว่าอยากอยู่เงียบๆ ไม่อยากยุ่งกับใคร กลัวว่าคุณแม่จะตามมาเจอด้วย น้องเขาก็บอกว่าเขาได้รับกระแสคนที่เข้ามาให้กำลังใจเยอะมาก เขาเลยรู้สึกว่าอยากสัมผัสกับกำลังใจนั้นด้วยตัวเขาเอง พี่อ้อยยังเตือนว่าอันนี้แล้วแต่น้องนะเพราะกระแสที่เข้ามามีทั้งบวกและลบนะ ถ้าน้องไม่แข็งแรงพอ พี่อ้อยไม่เห็นด้วยนะที่จะเปิดเพจออกมา น้องก็บอกว่าเหรอคะ งั้นหนูไม่เปิดตัวดีกว่า หนูไปปิดดีกว่า นั่นแหละคือสิ่งที่เรารู้ ขั้นตอนของเราคือคุยกับเขาได้แค่นั้น หลังจากนั้นแล้วมีคนออกมาว่าน้องไปเอารูปของคนชื่อแอร์อีกคนนึง แล้วมาเป็นหน้าเพจของตัวเอง จนกระทั่งถึงเรื่องที่ว่าคุณแอร์มีจริงหรือเปล่า ส่วนตัวพี่ถ้าเดาพี่พยายามจะต่อเรื่อง ก็เดาว่าน้องคงไม่อยากเอาหน้าตัวเองออกไปก็เลยไปคว้าเอารูปของใครมา พี่ฉอดกับพี่อ้อยเจอหน้าเพจปลอมตลอดเวลา มีขนาดคนไปตอบปัญหาเป็นพี่ฉอด พี่อ้อยเองก็มี สารพัดซึ่งเราก็ต้องแจ้งฝ่ายไอทีของเราไปไล่ปิด พี่เดาว่าน้องอาจจะคิดน้อยใจในกรณีแบบนี้นะคะ อันนี้ไม่ยืนยันนะ เป็นแค่ความคิดเห็นส่วนตัวของพี่”

“สำหรับคุณแอร์ที่เป็นเจ้าของรูป ลุกขึ้นมาพูดแล้วก็รู้สึกว่ามีการโทรสัพท์ไปคุยกับระหว่างคุณแอร์ตัวจริงกับคุณแอร์เจ้าของรูปด้วย อันนั้นเป็นเรื่องที่นอกเหนือจากการควบคุมของพวกพี่แล้วล่ะ พี่ไม่รู้ว่าเรื่องราวต่อจากนั้นเขาจะยังไงกันต่อไป น้องแอร์ที่เป็นเจ้าของรูปพยายามจะเรียกร้องให้รายการรับผิดชอบไม่งั้นจะฟ้อง ซึ่งพี่ก็ไม่แน่ใจ เลยไปเช็กทางกฎหมายต่างๆ จริงๆแล้วการเปิดหน้าเฟซบุ๊กมันเป็นเรื่องส่วนตัว พี่คงไม่สามรถตามไปรับผิดชอบในสิ่งที่มันเกิดขึ้นในตรงนั้นได้ เพราะมันเป็นคนละเรื่องกันนะกับสิ่งที่พี่เอามาออกอากาศในรายการ แต่ตอนนี้ดันมีคนจับไปรวมเป็นเรื่องเดียวกัน กล่าวโทษกันชุลมุนวุ่นวายกันไปหมดเลย”

“อีกกรณีนึง คือมีน้องผู้ชายคนนึงเขามาบอกว่าได้โอนเงินให้น้องแอร์จำนวน 6 พันบาทแล้วก็มีคลิปเสียงที่เขาคุยกัน สิ่งที่มันเกิดขึ้นที่ทางเรารู้คือว่าหลังจากเรื่องราวของน้องแอร์ออกอากาศก็มีคนเยอะมากที่เข้ามาแล้วก็อยากขอที่อยู่ ติดต่อ ขอช่วยเหลือ แต่โดยมารยาทแล้วทางกรีนเวฟไม่เคยให้เบอร์ในการติดต่อใดๆกับใคร เราก็เห็นน้องผู้ชายคนนี้เข้ามาแล้วอยากติดต่อกับน้องแอร์ แต่เราก็ไม่ได้ให้อะไร หลังจากนั้นไม่รู้ด้วยวิธีไหน น้องผู้ชายคนนี้ก็ได้ไปคุยกับน้องแอร์ แล้วเรามารู้เรื่องหลังจากนั้นคือน้องแอร์เข้ามาคุยกับพี่อ้อย แล้วบอกพี่อ้อยว่ามีผู้ชายคนนึงที่มีโอกาสได้คุยกับเขา เขาดีมากเลย อยากช่วยดูแลทุกสิ่งอย่าง พอดีหนูมีปัญหาเรื่องเงิน เขาก็โอนเงินมาให้หนูยืม 6 พันบาท พี่อ้อยก็ดุไปว่าอย่าไปทำอย่างนี้นะคะ หนูจะไปเอาเงินของเขามาง่ายได้ยังไง ถ้าเขาไม่หวังอะไรเขาจะเอาให้ง่ายๆเหรอ เราไม่ควรไปรับเงินจากใคร น้องก็บอกว่าเหรอคะ เดี๋ยวหนูทำงานได้หนูจะเอาเงินไปใช้เขา นี่คือสิ่งที่เรารับรู้คือตรงนี้ วันนึงมีน้องผู้ชายออกมาปรากฏตัวว่าน้องแอร์ไปเอาเงินของเขา เรื่องที่เรารับรู้คือแบบนี้ เช่นเดียวกันค่ะไม่ว่าน้องแอร์จะไปคุยกับใครต่อถึงขั้นเห็นใจแล้วขอยืมเงินกันใดๆ มันก็เหลือวิสัยที่รายการจะไปรับผิดชอบได้ ตอนนี้มันเอาทุกเรื่องมารวมกันหมด พี่เลยรู้สึกว่ามันอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องที่เราจับเรื่องทุกเรื่องรวมกันแล้วมาสรุปว่าคลับฟรายเดย์เป็นคนผิด”

ได้คุยกับคุณแอร์ตัวจริงหรือยังว่าสรุปเรื่องราวเป็นอย่างไร
“พี่ฉอดจะเป็นคนที่ได้คุยอะไรกับใครน้อยมากเพราะพี่จะมีหน้าที่อย่างอื่น ส่วนใหญ่คนที่คุยจะเป็นพี่อ้อยและทีมงาน ในขั้นแรกที่เราคุยเหมือนน้องปฏิเสธว่าน้องไม่ได้ทำ ตอนที่น้องคุยโทรศัพท์กับคุณแอร์เจ้าของรูปว่าน้องไม่ได้เปิดหน้าเฟซบุ๊กและเอารูปไป แต่ล่าสุดเหมือนน้องมาโพสต์ข้อความ อันนี้พี่ฟังจากเขาเล่ามานะคะว่ายอมรับว่าได้ทำไปจริงๆและขอโทษ พี่เดาเอาเองว่าน่าจะเป็นความรู้สึกประมาณนี้ที่น้องเขาทำแบบนี้ ในที่สุดแล้วพี่อยากจะบอกว่าในบรรดาปัญหาต่างๆที่เกิดในครั้งนี้ พี่อยากจะยืนยันในเจตนารมณ์อันบริสุทธิ์ของคลับฟรายเดย์ก่อนนะคะ เราทำงานตรงนี้มาเกือบ 10 ปี ไม่เคยมีกรณีแบบนี้มาก่อนเลย หลังจากที่เกิดเรื่องราวต่างๆนานา พี่ก็ลองเข้าไปเช็กเรื่องราวที่เราหยิบมาทำเป็นซีรีส์ หรือออกอากาศในรายการ เราก็ประเมินผลดู ซึ่งเราก็ทำตลอดอยู่แล้วนะคะ มีผู้คนเยอะมากที่เข้ามาในทางไอจี เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ของพวกเราทุกคนที่เกี่ยวข้องอยู่ มีคนจำนวนเยอะมากที่ได้ประโยชน์กับเรื่องราวที่ออกอากาศไป หลายคนบอกว่ากำลังคิดจะทำอะไรไม่ดีแล้วพอดูแล้ว ถ้าทำไม่ดีมันก็ต้องได้รับไม่ดี เขาก็หยุด พี่ยังยืนยันอยู่ว่าเจตนารมณ์ของเราทุกประการเหมือนเดิม ทุกอย่างให้ดูที่เจตนา ที่สุดแล้วผลที่ได้รับกลับมาเป็นผลที่เรายังรู้สึกดีกับมันอยู่ ถ้าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นปัญหา พี่ว่าเป็นปัญหาที่บุคคล มันไม่ได้เป็นปัญหาที่รายการหรือความตั้งใจของรายการที่เมคหรือสร้างเรื่องใดๆ ณ วันนี้ฟีดแบ็กที่เข้ามาที่พี่ ถ้าคนที่รู้จักคลับฟรายเดย์ แฟนรายการ ไม่มีใครถามเรื่องนี้สักคน ไม่มีใครตั้งประเด็นเลยว่าเรื่องนี้จริงหรือไม่จริงเพราะทุกคนรู้ว่าเราทำงานกันอย่างไร แต่คนที่พูดกันอยู่ ณ วันนี้ มักจะเป็นคนที่ไม่รู้จักคลับฟรายเดย์ เป็นคนประเภทอยู่ในโซเชียลแล้วเข้ามาด่าๆแล้วก็ไปพูดอะไรก็ วันนี้เราโดนกระจากตรงนั้นเยอะอยู่ พี่เลยอยากจะบอกว่าไม่ต้องไปสืบทีไหน พอไปสืบมาก็ไปจับตรงนู้นมาผูกตรงนี้เป็นเรื่องคิดไปว่ามันควรเป็นอย่างนี้ ซึ่งหลายๆอย่าเราก็ขำกันว่ามันไม่เรื่องจริงเลย ถ้าใครอยากสืบเรื่องคลับฟรายเดย์จริงๆ ไม่ต้องไปสืบที่ไหน พี่เชิญเลยค่ะ น้องๆสื่อมวลชนก็ได้มานั่งอยู่กับพี่ในการจัดรายการกับพี่ทุกวันศุกร์ มานั่งสักอาทิตย์ 2 อาทิตย์เดี๋ยวก็รู้ว่าพวกเราทำงานกันอย่างไร เดี๋ยวก็รู้ว่าเคสที่เข้ามามีมากมายขนาดไหน เดี๋ยวก็รู้ว่ามันมีเคสที่รุนแรงกว่านี้แค่ไหน ไม่ต้องไปสืบที่ไหน มาสืบกับพวกพี่นี่แหละ”

“อีกประเด็นนึง สำหรับน้องแอร์ที่เป็นเจ้าของรูปหรือใครก็ตามที่มีปัญหาอะไรจากผลพวงของเรื่องราวเหล่านี้ พี่คงไม่สามารถไปรับผิดชอบได้ในเชิงของกฎหมาย เพราะเราไม่เกี่ยว เราไม่สามารถก้าวเข้าไปตรงนั้นได้ แต่พี่ไมได้ปัดความรับผิดชอบ พี่ยินดีช่วยเหลือถ้าน้องมีอะไรให้พี่ช่วย พี่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าวันนี้พอเปิดเพจแล้วมีหน้าน้องแล้วน้องเดือดร้อน อยากให้พี่ช่วยอะไร อยากให้พี่ออกอากาศในรายการให้ อยากให้ประกาศให้ว่าน้องคนนี้ไม่เกี่ยว พี่ยินดีช่วยเต็มที่ แต่คงไม่ใช่เรื่องที่จะมาฟ้องพี่หรือเรียกค่าเสียหายอะไร พี่ไม่ได้เป็นคนรู้เห็นในการเปิดเพจเหล่านั้นใดๆ แต่พี่ยินดีให้ความช่วยเหลือ”

“อีกเรื่องนึง ในแง่ของความตั้งใจดีของพวกเราที่ทำงานคลับฟรายเดย์กันอยู่ค่ะ ในส่วนตัวพี่รู้สึกว่าวันนี้สังคมของเราป่วยเยอะนะคะ เรามีคนป่วยจิตเยอะแยะมากมาย มีคนป่วยจิตที่ออกมาในรูปแบบต่างๆนานาๆ อย่างกรีนคอนเสิร์ตคราวนี้เราจะให้เงินกับมูลนิธิศูนย์พิทักษ์เด็ก พอเราไปคุยกับเขาก็จะพบว่ามีคนป่วยจิตในสังคมเยอะมากที่ออกมาในรูปแบบการทำร้ายคนอื่น ถ้าเขาเป็นคนวิกลจริตเราจะรู้แต่เป็นคนที่เราเห็นหน้ากันอยู่ ด้วยความที่มีจิตใจที่ป่วย บางทีเราอาจะทำร้ายคนอื่นโดยไม่รู้ตัว ถ้าคลับฟรายเดย์จะเป็นรายการวิทยุเล็กๆสักรายการนึงที่มีความตั้งใจจะเปิดโอกาสให้คนที่มีความทุกข์ มีปัญหาที่เขาอยากได้ที่พึ่งมาพูดคุย แสดงเรื่องราวของเขาเพื่อให้เราเป็นผู้รับฟัง พี่ฉอด พี่อ้อยอาจมีส่วนเล็กๆในการที่จะเสนอแนะ เพื่อได้ช่วยเหลือสังคมได้บ้าง พี่อยากจะบอกว่ารายการนี้มันดราม่า โกหก ถ้าเรื่องแบบนี้ไม่เกิดขึ้นในชีวิตใคร เราจะไม่รู้ วันนึงถ้ามันเกิดกับชีวิตเรา เราก็ต้องการที่พึ่ง อยากได้คนรับฟังเพราะฉะนั้นอย่าประมาทว่าฉันไม่เจอหรอก ว่ารายการแบบนี้งี่เง่าและดราม่า ในวันที่คุณแอร์หรือใครก็ตามโทรศัพท์เข้ามาในรายการคลับฟรายเดย์ เขาร้องไห้ จะดราม่าหรือไม่ ไม่รู้ แต่พี่ฉอดกับพี่อ้อยแค่พี่ว่าเขาเป็นทุกข์และต้องการี่พึ่ง จะให้พี่มานั่งถามว่าจริงหรือเปล่าคะ มันไม่ใช่หน้าที่ เราแค่ดูแลจิตใจของเขาและเราหวังว่าการที่เราดูแลจิตใจเขาและคนอื่นที่ฟังอยู่ได้รับประโยชน์ไปด้วย อยากขอให้ทุกคนช่วยเข้าใจในสิ่งที่เราทำกันอยู่ก่อนที่จะวิพากษ์วิจารณ์กันไป”

“อีกเรื่องคือ คุณแม่โทรมา หลังจากทุกอย่างจบ ออกอากาศไปแล้ว วันนึงก็มีโทรศัพท์เข้ามาทางทีมงานของเราบอกว่าเป็นคุณแม่ของน้องแอร์ และขอเบอร์โทรศัพท์ของน้องแอร์ คุณแม่บอกว่าตั้งแต่ที่น้องออกจากบ้านไปแล้วน้องไม่ได้กลับมาอีกเลย เป็นห่วงและอยากเจอลูกและได้โทรมาขอเบอร์จากทีมงาน ซึ่งทางเราก็ไม่สามารถให้ได้ด้วยมารยาท คุณแม่เลยมีโอกาสได้คุยกับพี่อ้อยว่าถ้าอยากพูดกับน้องแอร์จริงๆ ก็ให้พูดผ่านรายการก็แล้วกัน เพราะน้องแอร์ฟังอยู่ คุณแม่ไม่ได้โทรเข้ามาเพื่ออยากออกอากาศแต่เราหาทางออกว่าเอาไหม คุณแม่อยากพูดอะไรกับน้องแอร์ก็พูดผ่านรายการ ถ้าน้องแอร์อยากเจอคุณแม่ก็คงไปเจอกันเอง นี่เป้นตอนจบ คนก็เลยไปตีความใหญ่โตว่าเราไปเมคเรื่อง ก็ไม่รู้จะเมคทำไม ถ้าน้องแอร์ไม่มีตัวตนจริงๆแล้วไปเมคถึงแม่ก็คงลำบากอยู่ ถามว่าพี่รู้ได้ยังไงว่าเป็นคุณแม่น้องแอร์จริงๆ ก็มีการตรวจสอบค่ะ เพราะคุณแม่บอกว่าให้บอกกับน้องแอร์ว่าคุณแม่ยังใช้เบอร์โทรศัพท์เดิม เราถามว่าเบอร์คุณแม่เบอร์อะไร แล้วเราก็ไปถามน้องว่าน้องเบอร์อะไร เราก็คงสงสัยค่ะ ไม่ต้องรอให้ทุกคนสงสัยหรอก พวกเราสงสัยและตรวจกันมาก่อนแล้ว เพียงแต่ว่าพอเรารู้สึกว่ามันเป็นเรื่องจริงมาก แล้วการออกอากาศของคุณแม่ ถามว่าทำให้ใครเดือดร้อน เสียหายไหม มันไม่มี เราเลยตัดสินใจให้ออกอากาศไป แต่ก็มีคนโยงประเด็นอีกว่าทำไมมาพอดีวันแม่เป๊ะเลย พี่จะรู้ไหมล่ะ เรื่องเราเพิ่งออกอากาศจบลงไป แล้วคุณแม่ได้ดูหลังจากการออกอากาศ พอคนตั้งใจจับประเด็นจับผิดมันก็ผิดไปซะทุกอย่าง ถามว่าคุณแม่สร้างตัวเองขึ้นมาหรือเปล่า คุณแม่ก็ไม่ได้ดังอะไรและยังโทรมาพูดในสิ่งที่ตัวเองทำไม่ดี ไม่รู้ว่าคุณแม่จะอยากออกมาพูดแบบนี้เพื่ออะไร แต่เพราะคุณแม่เขาอยากแสดงความสำนึกผิดต่อลูกและอยากให้ลูกกลับมา เราก็แค่เป็นสื่อกลางให้เท่านั้นเอง”

รายการคลับฟรายเดย์ยังเดินหน้าต่อไปหรือไม่
“เดินหน้าต่อค่ะ พี่ไม่หยุดแค่เพียงเรื่องอย่างนี้หรอก จะ 10 ปีแล้วที่เราทำงานกันแบบนี้ เราคิดว่าเราได้ทำประโยชน์ ทุกวันนี้กระแสที่เข้ามามีแต่สิ่งดีๆที่เราได้แลกเปลี่ยนกัน ทุกวันนี้เดินไปไหนมาไหนมีแต่คนมองเห็นว่าเราช่วยเขาได้ พี่มีความสุขในการทำงานนี้ และพี่คงไม่หยุด”

ต่อไปต้องสกรีนเรื่องเยอะขึ้นกว่าเดิมไหม
“ไม่ค่ะ เราทำงานปกติ เราทำเต็มที่อยู่แล้ว อย่างที่บอกว่าเราไม่สามารถไปตรวจจับเช็กขนาดนั้นได้ แต่เรื่องของเขาเป็นประโยชน์ต่อคนอื่นหรือเปล่า หัวใจมันอยู่ตรงนี้นะคะ”

มีโอกาสได้เจอตัวคุณแอร์หรือยัง
“ยังไม่ได้เจอค่ะ ณ ตอนนี้พี่สั่งให้หยุดทุกอย่างในการคุยกันผ่านโซเชียลหรือทางโทศัพท์มือถือ ถ้าจะคุยกันต่อจากนี้ ขอคุยกันตัวเป็นๆเลย ถ้าน้องแอร์ตัวจริงอยากคุยกับพวกพี่ก็เดินมาคุยกัน ถ้าน้องแอร์ที่เป็นเจ้าของรูปอยากให้พี่ช่วยอะไร ก็เดินเข้ามาเดี๋ยวพี่ช่วย”

กระแสสังคมต่อตัว คุณแอร์ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง
“เดาว่าคงแย่ อย่าหาว่าพี่เข้าข้างเลย พี่ว่าน้องก็คงเป็นเด็กที่จิตใจไม่มั่นคงคนนึง ต้องเห็นใจเขาถ้าได้เจอเรื่องราวเหล่านั้นมาจนถึงวันนี้แล้ว มันก็คงหนักหนาสำหรับเขาเหมือนกัน”